ราคาทองคำพุ่ง! สวนทางคะแนนทรัมป์

ความนิยม “ทรัมป์” ดิ่งต่ำสุดในรอบ 80 ปี ขณะที่ทองคำแตะ 3,500 ดอลลาร์

ราคาทองคำพุ่ง! สวนทางคะแนนทรัมป์

ความนิยม “ทรัมป์” ดิ่งต่ำสุดขณะที่ทองคำแตะ 3,500 ดอลลาร์

ครบ 100 วันแรกในการนั่งเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ (30 เม.ย. 2568) โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องเผชิญกับคะแนนความนิยมที่ตกต่ำที่สุดในรอบ 80 ปีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขณะเดียวกันราคาทองคำกลับ พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ แตะระดับ 3,500 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งในไทยพุ่งแตะ บาทละ 54,800 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 10,000 บาทภายในไม่กี่เดือน

ฮั่วเซ่งเฮงชี้ว่า ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนแห่ถือครอง ท่ามกลางสงครามการค้าและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น

สงครามภาษีเดือด! สหรัฐฯ-จีน แลกหมัดรัว กระทบทั่วโลก

ตลอดช่วงกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2568 สหรัฐฯ และจีนเปิดฉาก ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าตอบโต้กันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับภาษีสินค้าจีนจาก 10% จนพุ่งถึง 145% ในเวลาไม่ถึง 3 เดือน ขณะที่จีนเองก็ตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยภาษีสูงสุด 125%

  • สินค้าโดนภาษีหนัก: รถยนต์, เครื่องจักร, อาหาร, เหล็ก, อะลูมิเนียม, น้ำมันดิบ
  • Reciprocal Tariff: มาตรการภาษีโต้กลับแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน โดยสหรัฐฯ ขีดเส้นตายไว้ 90 วัน (ถึง 8 ก.ค.)
  • หากการเจรจาไม่สำเร็จ ราคาทองคำมีแนวโน้มพุ่งขึ้นอีก เพราะนักลงทุนจะหันหนีจากตลาดหุ้นและเงินสกุลหลัก

ปัจจัยสำคัญครึ่งปีหลัง: เจรจาการค้า-อาวุธลับทรัมป์

ฮั่วเซ่งเฮงเตือนว่า ในครึ่งปีหลัง 2568 ปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดมี 3 ด้านหลัก:

  1. เจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน: หากเจรจาล้มเหลว ราคาทองอาจพุ่งสูงกว่านี้
  2. “อาวุธลับ” ชุดใหม่ของทรัมป์: หากออกมาตรการที่สร้างความตึงเครียดเพิ่ม เช่น การขึ้นภาษีกลุ่มใหม่ หรือมาตรการกีดกันทางเทคโนโลยี อาจกระตุ้นให้ราคาทองพุ่งอีก
  3. ความเชื่อมั่นในทรัมป์: ยิ่งคะแนนนิยมตก นักลงทุนจะยิ่งไม่มั่นใจนโยบาย จึงหันไปถือทองคำแทน

สรุป ใครที่กำลังสนใจลงทุนทองคำ ช่วงนี้ถือเป็น “จังหวะแห่งความผันผวน” ที่ควรจับตาอย่างใกล้ชิด หากสงครามการค้ารุนแรงขึ้น ราคาทองอาจยังไปต่อ แต่หากมีสัญญาณผ่อนคลาย อาจเกิดแรงขายทำกำไร นักลงทุนควร กระจายพอร์ต และ ติดตามข่าวเศรษฐกิจโลกต่อเนื่อง